ดาวศุกร์ (mars) |
 |
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ (โดยเฉลี่ย) |
227.9 ล้านกิโลเมตร |
รัศมี (โดยเฉลี่ย) |
3390 กิโลเมตร (0.533 เท่าของโลก) |
มวล |
6.4185x1023 kg (0.107 เท่าของโลก) |
คาบเวลาการโคจรรอบดวงอาทิตย์ |
687 วัน |
คาบเวลาการหมุนรอบตัวเอง |
24.63 ชั่วโมง |
จำนวนดาวบริวาร |
2 |
สัญลักษณ์ |
 |
อุณหภูมิ |
-87 ถึง -5 องศาเซลเซียส |
ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ในลำดับที่สี่จากดวงอาทิตย์ และเป็นดาวเคราะห์ลำดับสุดท้ายของดาวเคราะห์หิน* บางครั้งเรามักเรียกดาวอังคารว่า "ดาวแดง" (Red Planet) เนื่องจากดาวอังคารปรากฏเป็นสีแดงคล้ายสีโลหิต พื้นผิวของดาวอังคารจะมีความแตกต่างระหว่างหุบเหวที่ลึกมากและภูเขาไฟที่สูง มากที่สุดเมื่อเทียบกับดาวเคราะห์อื่นในระบบสุริยะ พื้นผิวของดาวอังคารในปัจจุบันมีความแห้งแล้งแต่ก็มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า ดาวอังคารเคยมีน้ำมาก่อน
* ดาวเคราะห์ที่มีพื้นผิวชัดเจน (terrestrial planet) หรือ ดาวเคราะห์หิน (rocky planet) ในระบบสุริยะประกอบด้วยดาวเคราะห์ 4 ดวงคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และ ดาวอังคาร

ภาพเปรียบเทียบขนาดของดาวเคราะห์หินทั้งสี่ คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และ ดาวอังคาร ตามลำดับ(จากซ้ายไปขวา)
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Mars
ดาวอังคารมีดาวบริวารหรือดวงจันทร์ขนาดเล็ก 2 ดวง คือ โฟบอส (Phobos) และดีมอส (Deimos) โดยทั้งสองดวงมีรูปร่างบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปกลม ซึ่งคาดกันว่าอาจเป็นดาวเคราะห์น้อยที่หลงเข้ามาแล้วดาวอังคารคว้าดึงเอาไว้ ให้อยู่ในเขตแรงดึงดูดของตน

โฟบอส (ซ้าย) และ ดีมอส (ขวา)
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/File:Phobos_deimos_diff_rotated.jpg

วงโคจรของโฟบอสและดีมอสรอบดาวอังคาร
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/File:Orbits_of_Phobos_and_Deimos.gif
|
โฟบอส |
ดีมอส |
ขนาด |
27 x 21.6 x 18.8 กิโลเมตร |
10 x 12 x 16 กิโลเมตร |
เส้นผ่านศูนย์กลาง (เฉลี่ย) |
22.2 กิโลเมตร |
12.6 กิโลเมตร |
น้ำหนัก |
1.08x1016 kg |
2x1015 kg |
ระยะห่างจากดาวอังคาร (เฉลี่ย) |
9378 กิโลเมตร |
23400 กิโลเมตร |
คาบเวลาการโคจร |
7.66 ชั่วโมง |
30.35 ชั่วโมง |
วงโคจร
วงโคจรของดาวอังคารเป็นวงโคจรที่เป็นวงรีมีจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่ สุด(perihelion) ห่างจากดวงอาทิตย์ 207 ล้านกิโลเมตร และจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุด(aphelion) 249 ล้านกิโลเมตร จึงทำให้อุณหภูมิในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาวมีความแตกต่างกันมาก แกนของดาวอังคารมีความเอียงเช่นเดียวกันกับโลกโดยมีความเอียงประมาณ 25.19 องศา ทำให้ช่วงเวลาหนึ่งแกนขั้วโลกเหนือของดาวอังคารชี้ไปยังดวงอาทิตย์ และอีกช่วงเวลาหนึ่งแกนขั้วโลกใต้ชี้ไปยังดวงอาทิตย์ บนดาวอังคารจึงมีฤดูกาลเช่นเดียวกันกับบนโลกแต่ว่าในแต่ละฤดูกาลจะมีความ ยาวนานกว่าเนื่องจากเวลาที่ใช้ในการโคจรรอบดวงอาทิตย์มีความยาวนานกว่าโลก นั่นเอง

วงโคจรของดาวอังคาร
โครงสร้างของดาวอังคาร
ดาวอังคารมีขนาด(รัศมี)ประมาณครึ่งหนึ่งของโลกและมีระยะห่างจากดวง อาทิตย์มากกว่าโลกซึ่งหมายความว่าดาวอังคารน่าจะเย็นตัวเร็วกว่าโลก แกนกลางที่เป็นโลหะของดาวอังคารจึงน่าที่จะเป็นของแข็ง แต่เนื่องด้วยความหนาแน่นของดาวอังคารค่อนข้างต่ำเมื่อเมื่อกับดาวเคราะห์ หินอื่นๆจึงเชื่อได้ว่าแกนของดาวอังคารน่าจะมีส่วนผสมของซัลเฟอร์(sulphur) อยู่ในรูปของไอออนซัลไฟด์ (iron sulphide)

โครงสร้างของดาวอังคาร
รอบๆแกนของดาวอังคารจะเป็นชั้นแมนเทิลที่มีความหนามากเมื่อเทียบ กับแกน โดยประกอบด้วยหินซิลิเกตเป็นหลัก ส่วนเปลือกที่เป็นหินชั้นนอกสุดของดาวอังคารจะมีความหนาประมาณ 80 กิโลเมตรในซีกโลกใต้ แต่จะมีความหนาเพียง 35 กิโลเมตรในซีกโลกเหนือ
ชั้นบรรยากาศ
ชั้นบรรยากาศของดาวอังคารค่อนข้างเบาบางมากคือมีความดันบรรยากาศ เฉลี่ยที่พื้นผิวเพียง 0.6 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับโลก ชั้นบรรยากาศจะประกอบด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลักประมาณ 95.3 เปอร์เซนต์ มีแก๊สไนโตรเจนและอาร์กอน ประมาณ 2.7 และ 1.6 เปอร์เซนต์ตามลำดับ นอกนั้นจะเป็นแก๊สอื่นๆ
การที่เราเห็นดาวอังคารมีสีแดง (ความจริงจะเห็นเป็นสีค่อนไปทางส้มอมชมพู) เนื่องจากมีฝุ่นของไอออนออกไซด์ (iron oxide) หรือที่เรารู้จักกันว่าเป็น สนิมเหล็ก อากาศบนดาวอังคารจะมีความแปรปรวนสูงมาก โดยในช่วงฤดูร้อนของซีกโลกใต้ ลมจะพัดจากซีกโลกใต้ที่ร้อนกว่าไปยังซีกโลกเหนือ ซึ่งจะพัดพาเอาฝุ่นละอองต่างๆขึ้นไปสูงได้ถึง 1 กิโลเมตร ซึ่งพายุฝุ่นที่เกิดขึ้นนี้จะปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของดาวอังคารเลยทีเดียว และพายุฝุ่นนี่เองที่พัดมานานหลายศตวรรษทำให้พื้นผิวของดาวอังคารมีลักษณะ เป็นแนวสันของหิน (yardangs or rock ridges) อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ภาพแสดงแนวสันของหินที่เกิดขึ้นบนดาวอังคารเนื่องจากการพัดของลมพายุ
ภาพจาก http://www.psi.edu/pgwg/images/sep08image.html
--------------
โลก (Earth) |
 |
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ (โดยเฉลี่ย) |
149.6 ล้านกิโลเมตร |
รัศมี (โดยเฉลี่ย) |
6371 กิโลเมตร |
มวล |
5.9736x1024 kg |
คาบเวลาการโคจรรอบดวงอาทิตย์ |
365.256 วัน |
คาบเวลาการหมุนรอบตัวเอง |
23 ชั่วโมง 56 นาที 4.1 วินาที |
จำนวนดาวบริวาร |
1 |
สัญลักษณ์ |
 |
อุณหภูมิ |
14 องศาเซลเซียส |
โลกที่อยู่อาศัยของมนุษย์เรานั้นเป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 3 ในระบบสุริยะ โลกเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์หินทั้งสี่ในระบบ สุริยะ(ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และ ดาวอังคาร) โลกนั้นถือกำเนิดเมื่อ 4.54 พันล้านปีมาแล้ว โดยในปัจจุบันโลกถือว่าเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัย อยู่ เนื่องจากโลกมีชั้นบรรยากาศที่มีออกซิเจนและมีน้ำที่มีความจำเป็นต่อการดำรง ชีวิต อีกทั้งยังมีสนามแม่เหล็กโลกที่ป้องกันการแผ่รังสีต่างๆที่เป็นอันตรายจาก อวกาศอีกด้วย

การโคจรของดวงจันทร์รอบโลก
ภาพจาก http://www.nmm.ac.uk/rog/2008/08/in_the_shadow_of_the_earth.html
นอกจากโลกของเราที่โคจรรอบดวงอาทิตย์แล้วโลกยังมีดวงจันทร์ที่ โคจรรอบโลกอยู่ด้วย โดยระนาบการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์ทำมุมประมาณ 5 องศากับระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งสมมุติว่าระนาบทั้งสองเป็นระนาบเดียวกันแล้วจะทำให้เกิดอุปราคาขึ้นทุก 2 สัปดาห์ สลับกันระหว่างสุริยุปราคาและจันทรุปราคา นอกจากนี้ดวงจันทร์ยังมีคาบเวลาการโคจรรอบโลก 27.32 วัน เท่ากันกับคาบเวลาในการโคจรรอบตัวเองของดวงจันทร์ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ จากโลกเพียงด้านเดียวของดวงจันทร์อยู่เสมอ
วงโคจร

วงโคจรของโลก
โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาเมื่อมองจากเหนือขั้ว โลกเหนือของโลกและดวงอาทิตย์ มีลักษณะการโคจรเป็นรูปวงรีใช้เวลาในการโคจร 1 รอบ 365.2564 วัน โดยมีระยะใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด 147.1 ล้านกิโลเมตร และระยะไกลดวงอาทิตย์มากที่สุด 152.1 ล้านกิโลเมตร โดยแกนหมุนของโลก(ขั้วเหนือ-ใต้)ทำมุมเอียงกับระนาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ (ecliptic plane) 23.5 องศา การที่แกนโลกมีความเอียงนี่เองทำให้แต่ละพื้นที่บนโลกได้รับแสงจากดวง อาทิตย์ไม่เท่ากันในแต่ละวันใน 1 ปี จึงทำให้เกิดฤดูกาลขึ้นบนโลกนั่นเอง ในฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ ขั้วโลกเหนือจะหันเข้าหาดวงอาทิตย์ และเมื่อขั้วโลกเหนือหันออกจากดวงอาทิตย์ก็จะเกิดฤดูหนาวขึ้นที่ซีกโลกเหนือ
การแบ่งว่าเกิดฤดูกาลใดบนโลกนี้สามารถแบ่งได้โดยใช้วันโซลสทิส (solstices) และวันอิควิน็อก (equinox) โดยวันโซลสทิสฤดูร้อน (summer solstice) เกิดขึ้นวันที่ 21 มิถุนายน เป็นวันที่ขั้วโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์มากที่สุด วันโซลสทิสฤดูหนาว (winter solstice) เกิดขึ้นวันที่ 21 ธันวาคมเป็นวันที่ขั้วโลกเหนือหันออกจากดวงอาทิตย์มากที่สุด วันอิควิน็อกฤดูใบไม้ผลิ (spring equinox) และวันอิควิน็อกฤดูใบไม้ร่วง (autumnal equinox) เกิดขึ้นในวันที่ 20 มีนาคม และ 23 กันยายน ตามลำดับเป็นวันที่แกนของโลกตั้งฉากกับเส้นตรงที่ลากจากโลกไปยังดวงอาทิตย์ โดยวันทั้งสี่ก็จะเป็นช่วงของวันที่เกิดฤดูกาลต่างๆตามชื่อของวันนั่นเอง
โครงสร้างของโลก

โครงสร้างของโลก
พื้นผิวส่วนใหญ่ของโลกถึง 71 เปอร์เซนต์ปกคลุมไปด้วยน้ำ ส่วนพื้นผิวที่เหนือก็จะเป็นพื้นที่ที่เป็นทวีปและเกาะต่างๆ โดยในส่วนของเปลือกโลกนี้จะมีความหนาต่างกันออกไปเช่นเปลือกโลกส่วนที่อยู่ ใต้มหาสมุทรอาจมีความหนาประมาณ 6 กิโลเมตร ส่วนเปลือกโลกส่วนที่เป็นทวีปอาจมีความหนาถึง 30 – 50 กิโลเมตร เปลือกโลกนี้จะไปกอบไปด้วยหินและแร่ธาตุมากมากหลากหลายชนิด
ถัดจากเปลือกโลกลงไปจะเป็นชั้นของแมนเทิลที่เป็นของแข็งประกอบไป ด้วยเหล็กและแมกนีเซียมเป็นหลักโดยมีความหนาประมาณ 2800 กิโลเมตร ถัดลงไปจะเป็นส่วนของแกนโลกซึ่งแบ่งออกเป็นสองชั้นด้วยกันคือ แกนโลกชั้นนอก (outer core) และ แกนโลกชั้นใน (inner core) โดยแกนโลกชั้นนอกจะอยู่ห่างจากผิวโลกลงไปประมาณ 2900-5000 กิโลเมตรประกอบไปด้วยเหล็กและนิกเกิลในสถานะของเหลวมีอุณหภูมิประมาณ 6200 – 6400 องศาเซลเซียส ส่วนแกนโลกชั้นในมีรัศมีประมาณ 1000 กิโลเมตรชั้นนี้ก็จะประกอบไปด้วยเหล็กและนิกเกิลเช่นเดียวกับแกนโลกชั้นนอก แต่อยู่ในสถานะของแข็งมีอุณหภูมิประมาณ 4300-6200 องศาเซสเซียส
ชั้นบรรยากาศ
โลกห่อหุ้มไปด้วยชั้นบรรยากาศที่มีความหนาหลายร้อยกิโลเมตร โดยประกอบไปด้วยแก๊สไนโตรเจน 78.1 เปอร์เซนต์ แก๊สออกซิเจน 20.9 เปอร์เซนต์ อาร์กอน 0.9 เปอร์เซนต์ ที่เหลือเป็นแก๊สอื่นๆ นอกจากนี้ยังปรากฏไอน้ำในชั้นบรรยากาศอีกด้วย ชั้นบรรยากาศของโลกนี้จะมีความหนาแน่นที่บริเวณผิวโลกมากกว่าบริเวณที่สูง ขึ้นไปอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงของโลก เช่นที่ความสูง 30 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเลความดันบรรยากาศจะมีค่าเพียง 1 เปอร์เซนต์ของความดันบรรยากาศที่ระดับน้ำทะเล

ชั้นบรรยากาศของโลก
ภาพจาก http://www.asc-csa.gc.ca/images/spacesuit_layers.jpg
ชั้นบรรยากาศของโลกแบ่งได้เป็น 5 ชั้นดังนี้
- โทรโพสเฟียร์ (Troposphere) เป็นชั้นบรรยากาศล่างสุดตั้งแต่ผิวโลกไปถึงความสูง 8 กิโลเมตรบริเวณขั้วโลกหรือ ความสูง 15 กิโลเมตรบริเวณเส้นศูนย์สูตร ชั้นบรรยากาศนี้จะมีมวลของอากาศถึง 75 เปอร์เซนต์โดยมวลของมวลอากาศทั้งหมดที่ห่อหุ้มโลกไว้ อุณหภูมิของบรรยากาศชั้นนี้บริเวณขั้วโลกจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณเส้น ศูนย์สูตรเนื่องจากผิวโลกบริเวณต่างๆ ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ต่างกันทำให้เกิดสภาวะอากาศต่างๆขึ้น เกิดลมพัดจากบริเวณที่อุณหภูมิแตกต่างกันไปทั่วพื้นผิวโลก และลมดังกล่าวก็ทำให้เกิดการไหลขแงกระแสน้ำด้วย บริเวณบนสุดของชั้นโทรโพสเฟียร์นี้อาจมีอุณหภูมิลดลงถึงประมาณ -52 องศาเซลเซียส
- สตราโตสเฟียร์ (Stratosphere) เป็นบริเวณถัดจากชั้นโทรโพสเฟียร์ไปจนถึงความสูง 50 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล บริเวณบนสุดของชั้นสตราโตสเฟียร์นี้อาจมีอุณหภูมิประมาณ -3 องศาเซลเซียส
- เมสโซสเฟียร์ (Mesosphere) เป็นบริเวณถัดจากชั้นสตราโตสเฟียร์ไปจนถึงความสูง 80-85 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล บริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างชั้นเมสโซสเฟียร์และชั้นเทอร์โมสเฟียร์นี้(บริเวณ บนสุดของชั้นเมสโซสเฟียร์) จัดว่าเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำสุดบนโลกคือประมาณ -100 องศาเซลเซียส ชั้นเมสโซสเฟียร์นี้เป็นชั้นที่ฝนดาวตก (meteors) ส่วนใหญ่เผาไหม้หมดเมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก

อุณหภูมิและความดันที่บรรยากาศชั้นต่างๆ
ภาพจาก http://www.wunderground.com/blog/LRandyB/comment.html?entrynum=73
- เทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) เป็นบริเวณถัดจากชั้นเมสโซสเฟียร์ไปจนถึงความสูงประมาณ 600 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล บริเวณบนสุดของชั้นเทอร์โมสเฟียร์นี้อาจมีอุณหภูมิสูงถึง 1700 องศาเซลเซียสชั้นนี้เป็นชั้นสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) โคจรรอบโลกอยู่ที่ความสูง 320 – 380 กิโลเมตร
- เอ็กโซสเฟียร์ (Exosphere) เป็นบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกเป็นรอยต่อระหว่างชั้นบรรยากาศของโลกและอวกาศ ซึ่งมีขอบเขตแบ่งระหว่างชั้นบรรยากาศและอวกาศที่ไม่ชัดเจน บรรยากาศชั้นนี้ประกอบไปด้วยแก๊สไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นหลัก
Source: http://www.space.mict.go.th/knowledge.php?id=planet_earth