นิทาน เรื่อง มดกับนกพิราบ
นิทานเรื่องสั้น ข้อคิด นิทานเรื่องสั้นต่างๆ นิทานเรื่องก้อนหินวิเศษ นิทานก้อนหินวิเศษ เรื่อง ก้อนหินวิเศษ ข้อคิด ก้อนหินวิเศษ
นิทาน เป็นเรื่องที่เล่าสู่กันฟังมานานและมีอยู่ในทุกสังคม ไม่ว่าชาติใด สังคมระดับไหนก็ต้องการผ่อนคลายจากความ เบื่อหน่ายในชีวิตประจำวัน ออกไปสู่โลกแห่งจินตนาการ เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน แม้ปัจจุบันจะมีสื่อความบันเทิงทันสมัย แต่การเล่านิทานก็ยังยืนหยัดอยู่ได้จนทุกวันนี้
นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่สืบทอดกันมา หรือมีผู้แต่งขึ้นเพื่อต้องการสอนคนในการดำรงชีวิต ให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน นิทานส่วนใหญ่จะถ่ายทอดด้วยวิธี มุขปาฐะ ที่ทั้งผู้เล่าและผู้ฟังต่างมุ่งสนองความสุขทางจิตใจของตน
ความสำคัญของนิทาน
1. ทำให้ผู้ใหญ่เข้าใจเด็กยิ่งขึ้น เสริมสร้างความผูกพัน
2. ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านอารมณ์
3. ช่วยปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และประเพณีที่ดีงาม
4. ช่วยสร้างประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็ก
คุณค่าและประโยชน์ของนิทานคุณธรรม นิทานชาดก นิทานธรรมะ
1. นิทานให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน เป็นการผ่อนคลายความเครียดและช่วยให้เวลาผ่านไปอย่างไม่น่าเบื่อหน่าย
2. นิทานช่วยกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว เด็กบางคนอาจมองผู้ใหญ่ว่าเป็นบุคคลที่ขี้บ่นชอบดุด่า น่าเบื่อหน่วยหรือน่าเกรงขาม แต่ถ้าผู้ใหญ่มีเวลาเล่านิทานให้เด็กฟังบ้าง นิทานที่สนุกๆ ก็จะช่วยให้เด็กอยากอยู่ใกล้ชิด ลดความเกรงกลัวหรือเบื่อหน่ายผู้ใหญ่ลง
3. นิทานให้การศึกษาและเสริมสร้างจินตนาการ
4. นิทานให้ข้อคิดและ คติเตือนใจ ช่วยปลูกฝังคุณธรรมต่างๆ ที่สังคมพึงประสงค์ให้แก่ผู้ฟัง เช่น ให้ซื่อสัตย์ ให้เชื่อผู้ใหญ่ ให้พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้ขยันขันแข็ง เป็นต้น
5. นิทานช่วยสะท้อนให้เห็นสภาพของสังคมในอดีตในหลายๆ ด้าน เช่น ลักษณะของสังคมวิถีชีวิตของประชาชนในสังคม ตลอดจนประเพณี ค่านิยมและความเชื่อ เป็นต้น
เรื่อง ก้อนหินวิเศษ
นิทาน > นิทานคุณธรรม > เรื่อง ก้อนหินวิเศษ

ข้าวโพดจะอ่านหนังสือเพื่อทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในแต่ละวัน
เสร็จแล้วก็จะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนในวันต่อไป
ทำให้ข้าวโพดมีผลการเรียนที่ดีตลอดมา แม้ว่าข้าวโพด จะเป็นเด็กที่ขยันเรียน
แต่ในใจลึกๆข้าวโพด
ก็นึกอยากได้ของวิเศษสักชิ้นเพื่อช่วยให้ตนเองเรียนเก่งขึ้นเหมือนในนิทาน
ที่เคยฟังเมื่อยังเด็ก
แล้วช่วงเวลาปิดเทอมใหญ่ที่เด็กๆทุกคนรอคอยก็มาถึง
สำหรับข้าวโพดก็รอคอยที่จะได้เดินทางไปท่องเที่ยวและเรียนรู้ตามที่ต่างๆ
เช่นกัน ปิดเทอมนี้ครอบครัวของข้าวโพดพากันไปเที่ยวทะเล
ข้าวโพดสนุกสนานกับการเล่นน้ำทะเล
และเดินดูเปลือกหอยที่อยู่ตามชายหาดอย่างตื่นเต้น
เด็กชายวาดรูปเปลือกหอยชนิดต่างๆ ไว้ในสมุดบันทึก
เพื่อจะได้นำรูปนั้นกลับมาค้นคว้าว่าเปลือกหอยที่เจอคือหอยอะไรบ้าง
ชายแปลกหน้าได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะ
และบอกกับข้าวโพดว่าตนเองรู้จักเปลือกหอยทุกชนิด
และจำได้หมดโดยไม่ต้องบันทึกให้เสียเวลา เพราะมีก้อนหินวิเศษ
ที่ช่วยให้จดจำทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว
ชายแปลกหน้าจึงพาข้าวโพดเดินหาก้อนหินวิเศษอะไรจะหากันได้ง่ายๆ
ตามชายหาดอย่างนี้
แต่เมื่อเห็นเด็กชายแปลกหน้าบอกชื่อเปลือกหอยได้อย่างคล่องแคล่ว
ข้าวโพดก็ดีใจที่จะได้ก้อนหินวิเศษมาช่วยให้ตนเรียนหนังสือเก่งขึ้น
เธอทำข้อสอบ เธอก็ต้องนำมันติดตัวไปด้วย
มันจะช่วยให้เธอทำข้อสอบได้อย่างสบายเลยแหละ อย่าลืมที่ฉันบอกล่ะ
ถ้าเธอลืมเอามันติดตัวเธอก็จะทำข้อสอบได้ไม่ค่อยดีนัก" เด็กชายแปลกหน้ากำชับ
กลับมาบ้าน ข้าวโพดนำรูปเปลือกหอยมาค้นคว้า
และพบว่าชื่อเปลือกหอยที่เด็กชายแปลกหน้าบอกตรงกับในตำรา
ข้าวโพดยิ่งเชื่อสนิทใจและเก็บก้อนหินวิเศษไว้กับตัวเสมอ
ทุกวันเวลาอ่านหนังสือก็จะเอาก้อนหินวิเศษออกมาวางบนโต๊ะอ่านหนังสือ
และคิดไปว่าระยะหลังตนเรียนรู้ได้ดีกว่าเมื่อก่อน
แล้ววันสอบก็มาถึง
เด็กชายจัดแจงเอาก้อนหินใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงโดยที่ไม่รู้เลยว่ากระเป๋า
กางเกงตัวนั้นมีรอยขาด ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน
ก้อนหินวิเศษจึงหล่นหายไปโดยที่ข้าวโพดไม่รู้ตัว
เคารพธงชาติคุณครูให้นักเรียนทุกคนเข้าห้องสอบ
ข้าวโพดนั่งประจำที่ด้วยความมั่นใจเป็นพิเศษ
พลางล้วงหาก้อนหินวิเศษในกระเป๋ากางเกง แต่ก้อนหินไม่อยู่กับเขาแล้ว
ข้าวโพดตกใจและขาดความมั่นใจไปในทันที แต่เมื่อคุณครูนำข้อสอบมาแจก
ข้าวโพดกลับสามารถทำข้อสอบได้อย่างง่ายดาย
โดยไม่ต้องพึ่งก้อนหินวิเศษแต่อย่างใด จากที่เคยกังวลว่าจะทำข้อสอบไม่ได้
เพราะไม่มีก้อนหินวิเศษก็เปลี่ยนเป็นความสนุกสนานในการทำข้อสอบ
สอบในครั้งนั้นข้าวโพดมีคะแนนนำมาเป็นอันดับหนึ่ง
และได้เป็นตัวแทนโรงเรีนไปตอบปัญหาวิทยาศาสตร์จนได้รางวัลชนะเลิศ
สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน
โดยที่ไม่มีก้อนหินวิเศษคอยช่วยเหลือแต่อย่างใด
หนึ่งข้าวโพดฝันเห็นเด็กชายแปลกหน้า ในฝัน
ข้าวโพดบอกเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนใหม่ฟัง
ทันใดนั้นเด็กชายแปลกหน้าก็กลายร่างเป็นนางฟ้าแสนสวย
นางฟ้าบอกกับข้าวโพดว่า
ไม่ต้องมีของวิเศษอะไรหรอกจ้ะ เพราะการที่เธอเป็นเด็กขยัน
ชอบขวนขวายหาความรู้ใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา
โดยไม่ปล่อยเวลาว่างให้เปล่าประโยชน์นั้น มีค่ากว่าของวิเศษใดๆ
ขอให้เธอจงยึดมั่นในสิ่งต่างๆเหล่านี้ตลอดไป
แล้วเธอจะมีชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า ... ลาก่อนจ้ะ" พูดจบนางฟ้าก็หายตัวไป
นั้นเป็นต้นมา ข้าวโพดไม่เคยอยากได้ของวิเศษใดๆ เพราะรู้แล้วว่า ..
ความเอาใจใส่ในการเรียน และ หาความรู้คือของวิเศษที่แท้จริง
เด็กเป็นวัยสำคัญสำหรับการวางรากฐานเพื่อความสำเร็จ
ความเจริญและความสุขในชีวิต เยาวชนจึงต้องไม่ปล่อยให้ผ่านไปเปล่า
โดยมิได้ขวนขวายหาความรู้และความดีใส่ตัว เพราะการกระทำเช่นนั้น
เป็นการทำลายตนเอง ทำลายส่วนรวมโดยแท้